งั่งเขมรตาโปนอุดกริ่ง”บังเอิญ”
หลังจากที่ผมได้ใช้งั่งและเป๋อมาได้สักพัก เจอเรื่องราวประสบการณ์แปลกๆก็หลายเรื่อง ทำให้ผมสนใจที่จะเริ่มสะสมงั่งจริงจังครับ โดยผมก็จะหาข้อมูลในเน็ตและโทรไปพูดคุยสอบถามกับผู้ขายและเจ้าของร้านพระต่างๆ ทำให้ได้ทราบเรื่องราวและประสบการณ์จากเจ้าของงั่งมากมาย
ซึ่งงั่งพิมพ์ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ งั่งตาโปนหัวเกลียวเหมือนมะขามเทศและทองแดงครับ ผมว่าพิมพ์นี้ดูโหดดี บางตัวก็มียันต์ด้านหลังบางตัวก็ไม่มี ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป พกกำลังดีครับ ยิ่งเข้าเชือกแขวนเอวด้วย ยิ่งสวยครับ
มีอยู่วันนึงผมได็ไทรไปคุยกับคุณลุงท่านนึง (เค้าขายพระอยู่ในเว็บขายพระแห่งหนึ่ง) สอบถามก็ทราบว่าเคยมีงั่งเก็บไว้นานแล้วแต่ปัจจุบันขายพระเป็นหลัก เดี๋ยวจะไปรื้อดูให้ว่ายังมีเหลือไหม ที่สำคัญคือเค้าอยู่ใกล้ๆที่ทำงานของผมด้วย จะได้นัดเจอกันสะดวก สรุปว่าก็นัดเจอกันหลังจากนั้น 3 วัน ซึ่งตกลงนัดกันดิบดีที่ซอยข้างที่ทำงานของผม พอถึงเวลาช่วงเที่ยงตามที่นัดกัน ผมก็ออกไปรอ สรุปว่าคุณลุงเค้าออกมารอผมก่อนแล้วไม่เจอเลยวนรถกลับเข้าบ้านไป ไอ้ผมก็งงว่าทำไมไม่เจอเพราะก็มาตามเวลา ถามไปถามมา…นัดกันผิดที่!!! แกออกมารอหน้าปากซอยบ้านแก ผมออกมารอซอยข้างที่ทำงานผม คงจะเจอกันหรอก 555
โทรไปถามดูแล้วแกก็อารมณ์เสีย ที่นัดมาแล้วไม่เจอกัน ผมเลยต้องบอกว่าจะรีบไปหาโดยให้แกออกไปรออีกครั้งที่หน้าปากซอยบ้านแก (ซอยถึงก่อนที่ทำงานผม 2 ซอย) ผมก็ขับรถวนไปรอแล้วก็โทรหา สักพักแกก็วนรถมาจอดท้ายรถผมแล้วก็ให้ผมไปดูงั่งในรถแก สรุปว่าแกค้นมาได้เพียบครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นอิ้น และพวกงาแกะม้าเสพนางอะไรพวกนั้น คุยกันไปก็ถามโน่นนี่กันไป สรุปว่านั่งคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงผมก็เลือกอิ้นและงั่งมา 2 ชิ้น ซึ่งราคาไม่แพงครับเพราะแกเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้และก็ไม่ได้ขายแล้ว เก็บเอาไว้ที่บ้าน ผมเลยได้มาแบบฟลุ๊คๆในราคาที่ไม่แพง
พอจะจ่ายเงินให้แก สรุปว่าแกไม่มีเงินทอน ผมเลยต้องลงจากรถว่ิงไปที่ร้านขายของชำเพื่อแลกเงิน ในร้านขายของชำที่ผมเดินเข้าไปนั้น ผมเจอคนแก่อายุ 60 กลางๆยืนขายของอยู่ มองไปด้านในร้านดันมีตู้พระอยู่ 2 ตู้ เห็นตอนนั้นผมก็คิดขึ้นมาเล่นๆว่า เฮ้ย…ไม่ใช่ว่ามีงั่งเก่าอยู่ในนั้นนะเฟร้ย!!! ผมแลกเงินโดยซื้อกระทิงแดง 1 ขวด ระหว่างคุณลุงเจ้าของร้านกำลังล้วงเงินทอนจากกระเป๋า ผมเลยเดินเข้าไปดูตู้พระที่วางอยู่ในร้าน
คุณเชื่อไหม…ผมเห็นพระเก่าพระกรุวางเรียงกันเพียบอยู่ในตู้ด้านใน และสิ่งที่ทำให้หัวใจผมเต้นแรงที่สุดก็คือ ผมเจองั่งวางอยู่ริมกระจกชิดขอบตู้ และที่ไม่น่าเชื่อคือ “งั่งตาโปนหัวเกลียว” อยู่ตรงนั้นครับ พอคุณลุงเจ้าของร้านทอนเงินให้ผมเสร็จผมรีบว่ิงเอาเงินไปจ่ายค่างั่งและอิ้นให้กับลุงคนแรก เสร็จแล้วก็รีบวิ่งมาที่ร้านของชำเป็นการด่วน
ณ.จุดๆนี้ บอกได้เลยครับว่าแปลกใจมากที่มาเจองั่งตาโปนหัวเกลียวในร้านของชำ ทั้งๆที่ตอนแรกกก็ไม่ได้นัดกันตรงนี้ พอเข้าไปก็ไปสอบถามได้ความว่า เจ้าของร้านที่ชื่อ “ลุงจิตต์” แกเป็นคนสุพรรณ ทำงานการไฟฟ้า ชอบสะสมพระเครื่องและพระบูชา พอปลดเกษียนแล้วก็ออกมาอยู่บ้านโดยช่วยภรรยาขายของชำแล้วก็ขายพระเครื่องและพระบูชาที่แกเก็บสะสมมาตั้งแต่หนุ่มๆ
พอถามถึงงั่งตาโปนหัวเกลียวตัวนั้น แกบอกว่า “พระชัย” องค์นี้แกได้มาจากกำนันจากเมืองชล แกบอกชื่อกำนันคนนั้นมาครับ แต่ผมจำไม่ได้ (มันตื่นเต้นครับเลยไม่ได้จำ) แกบอกว่ากำนันคนนั้นรู้จักกับแก พอกำนันเสียหลานชายกำนันก็เอาพระมาปล่อยให้แก 2 องค์ มีพระสมเด็จและพระชัย (อย่างละ ๑ องค์ ผมจำชื่อพระสมเด็จไม่ได้ว่าเป็นพระสมเด็จอะไร เพราะใจมันอยู่ที่งั่งตาโปนหัวเกลียวอย่างเดียวเลย) ยืนคุยกันอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็เลยเช่างั่งตาโปนหัวเกลียวตัวนั้นเอามาไว้ในครอบครอง ซึ่งผมก็ได้มาในราคาที่ไม่แพงครับ ถ้าเป็นพิมพ์นี้คุณหาตามเน็ตบอกได้เลยว่าโดนไม่่ำกว่า 5 หลักแนนอน ราคามันก็ส่วนหนึ่งครับ แต่ความ “บังเอิญ” ที่ได้มาเจอนี่สิครับ มันสุดยอด
งั่งตาโปนหัวเกลียวพิมพ์นี้ผมเรียกว่า งั่งเขมรตาโปนอุดกริ่งเนื้อทองแดงเถื่อน ซึ่งเป็นพิมพ์เดียวกับ “ทองแดง” ครับ ไม่ต้องคิดยากเลยครับ ผมตั้งชื่อให้ว่า “บังเอิญ”
ผมได้บังเอิญมาในครั้งนี้มันเกิดจากปัจจัยหลายๆอย่างที่มันลงตัว ด้วยความดีใจและตื่นเต้นทำให้ผมเพิ่งนึกได้ว่า ก่อนที่ผมจะมาพบกับลุงคนแรกที่นัดกันเพื่อดูงั่งนั้น วันนั้นผมพกงั่งมนุษย์หินกรุเขมรโบราณที่ชื่อ”เนียง”มาด้วย ระหว่างนั่งรออยู่ในรถก่อนจะเดินไปคุยกับลุงคนแรก ผมหยิบเนียงออกมาจากกระเป๋าแล้วนึกในใจว่า วันนี้ขอให้ผมได้งั่งพิมพ์ที่ผมอยากได้ด้วยเถิด ช่วยเรียกเพื่อนให้มาอยู่กับผมด้วย คิดอย่างนี้จริงๆครับ เสร็จแล้วก็เก็บเข้าถุงผ้าลายทหารแล้วก็เก็บเข้ากระเป๋ากางเกง…แหม่ อะไรมันจะขนาดนั้น
วันหลังจะมาเล่าเรื่องของ”บังเอิญ”และ”เรื่องเล่าจากลุงจิตต์เกี่ยวกับงั่งเขมรตาโปนอุดกริ่งพิมพ์นี้ครับ