การห้อยพระ
การใช้เครื่องรางของขลัง
หัวข้อนี้ก็สำคัญอยู่ เนื่องด้วยชาวพุทธทั้งหลายนั้นผูกพันกันมาแต่โบราณมาในการใช้เครื่องรางของขลัง ก่อนอื่นจะขอย้อนไปสักนิดในเรื่องผู้ที่ทรงญานสามารถแปรพลังงานรอบกาย คือญานอนูของวัตถุธาตุ หรือสิ่งมีชีวิตต่างๆ ได้ รู้วาระจิต หรือ อนูญานของสิ่งอื่นๆได้ และนำความสามารถตรงนั้นคุ้มครองกายได้ ไม่ว่าจะป็นการแปรอากาศธาตุรอบกายเป็นเกราะคุ้มกันกาย หรือเดินไปในห่าฝนโดยแปร อากาศธาตุรอบตัวเป็นเกราะกำบัง และไม่เปียกฝน การเรียก หรือห้ามฝน และมาจบที่คำถามว่า แล้วทำไมคนที่ไม่มีความรู้ทางญานแต่ห้อยเครื่องรางหรือเหรียญพระถึงสามารถป้องกัน หรือคงกระพันได้ หรือประสบความสำเร็จทางการค้าขาย ทางเรื่องรักเรื่องเมตตาได้
มีคำตอบอยู่ 3 ข้อคือ
ข้อที่ 1 วัตถุที่กำหนดเป็นเครื่องรางนั้นได้ถูกกำหนดเป็นสื่อกลางจากผู้ทรงญานแล้วโดยอณูญานของวัตถุนั้นได้รับพลังและรับรู้ในคำสั่ง สามารถแปรพลังรอบกายให้เป็นเกราะตามคำสั่งของผู้สั่ง(ผู้ปลุกเสก)ในกรณีนี้หากกำหนดให้แคล้วคลาด โดยจะทำงานก็ต่อเมื่อมีอนูญานจิตย่อยแสดงการประทุษร้ายเข้าหาวัตถุเครื่องรางนั้น เครื่องรางนั้นๆก็จะนำฤทธิ์ออกมาทำงานทันที และเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ข้อที่ 2 วัตถุนั้นถูกประจุด้วยญาณจิตอื่นที่ถูกผูกพันให้อยู่ในเครื่องรางนั้นด้วยการบังคับ การสั่ง หรือการน้อมนำให้อยู่เพื่อกระทำการใดๆที่ผู้สั่งกำกับสั่งใว้ เช่นกุมารทอง นางกวัก เป็นต้น
ข้อที่ 3 วัตถุนั้นถูกบรรจุหรือสั่งใว้ด้วย อักขระอาคม ซึ่งอักขระและอาคมนี้นั้น ผู้ที่เป็นเจ้าของที่สร้างใว้ได้สั่งใว้ในอักขระและอาคมในลักษณะว่าผู้ที่อ่านอักขระและเขียนอักขระหากปฏิบัติเช่นไรแล้วอักขระและอาคมนั้นๆให้แสดงผลตามที่กำหนดใว้ ตัวอย่างเช่น การอ่านพระเวทย์หากมิได้ปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอน และกระทำพื้นฐานทางจิตถูกต้องแล้ว ย่อมไม่สามารถแสดงผลออกมาได้ ถ้าไม่มีหลักเช่นนี้แล้ว
จะเห็นได้ว่ามีอักขระคาถามากมายแต่หากอ่านออกแล้วสามารถเป็นไปได้ตามที่อ่านแล้วโลกนี้คงมีแต่ยอดมนุษย์หรือไม่คงวุ่นวายพิลึก นับเป็นเคล็ดที่สั่งใว้ดีมากเพื่อไม่ให้สามารถนำไปใช้ในทางไม่ดี และผู้กำหนดอักขระและอาคมได้ต้องเป็นญาณจิตที่ดี หากญาณจิต ไม่ดีไม่สามารถกำหนดได้ และผู้นำไปไช้ได้ก็ต้องเป็นญานจิตดี หากไม่ดีเดี๋ยวก็เสื่อม มันบังคับกันใว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงไม่พบว่ามีไครนำไปใช้ในทางไม่ดีแล้วจะได้ดี การกำหนดในเครื่องรางสำหรับมนุษย์นั้นมักต้องการสิ่งที่ป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ และมักขอให้ผู้ที่สร้างนั้นสร้างสิ่งที่ตนต้องการนั้นให้ ซึ่งผู้ที่ทรงญานจริงๆแล้วไม่อยากทำให้หรอกแต่มักทนรบเร้าไม่ได้ ก็ทำให้ไป แต่สิ่งที่ย้อนกลับมามักมีสองด้านเสมอ เช่น บางคนห้อยเครื่องรางป้องกันภูติผีปีศาจ ทั้งๆที่ภูตผีปีศาจนั้นอยู่คนละภพภูมิกับเราหากห้อยเครื่องรางเช่นนี้ก็จะสามารถขับไล่สิ่งที่อยู่ในภพภูมิภูติผีไปทั้งนั้น แล้วเมื่อเราก้าวเดินออกไปที่ใด ภูติในมิติที่เรากลัวก็จะถูกขับไล่ ปวดแสบปวดร้อน ทั้งที่เขายังไม่ได้มาทำอะไรเราเลย บางที่เขารักษา หรืออาศัยอยู่ในที่ๆเขาควรจะอยู่ แล้วอยู่ๆเรากลับไปขับไล่ทำร้ายเขาด้วยเครื่องรางนั้น เท่ากับไปสร้างความเดือดร้อน เกิดการอาฆาตพยาบาทกันโดยที่เราไม่รู้ตัว (เริ่มก่อเกิดกรรมแล้ว )แล้วลองนึกดูหากวันใด เวลาใดที่เราห่างจากเครื่องรางอันนั้น หากเขามาออกฤทธิ์ทำร้ายเราบ้างเราก็จะประสบเหตุไม่คาดฝันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ นี่ก็พึงสังวรณ์ใว้
ส่วนเครื่องรางประเภทอาศัยญาณจิตอื่นก็เช่นกัน หากญาณจิตนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องผูกพันกับเรามีเวรมีกรรมต้องติดตามเราไปวันหนึ่งเขาก็ต้องไปเมื่อญานจิตเขาแข็งแกร่งขึ้น หรือเมื่อเขาได้รับการแผ่กุศลกรรมจนเป็นอิสระก็เหมือนกับเราห้อยวัตถุที่ไม่มีค่าอะไรเลย หรือหากเขาถูกสั่งกำหนดว่าต้องเสพวัตถุใดๆเป็นอาหารเช่นต้องเสพควันธูปหากไม่ได้เสพก็จะไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ หรือ ย้อนกลับมาเรียกร้องเอากับเราหรือคนในครอบครัวก็มีมามากแล้ว เช่นที่วัดไฝ่ล้อม นครปฐม มีคนนำกุมารทองไปถวายคืนเป็นร้อยๆตัวเพราะไม่สามารถควบคุมญานจิตนั้นได้ เป็นต้น ส่วนอีกด้านก็จะเป็นด้านเมตตา น้อมจิตคนรอบข้าง ในด้านเมตตา บางคนเอาไปใช้ไม่ถูกทาง ไม่ได้ผล
เครื่องรางบางประเภทต้องอาศัยการอธิษฐานขอเนื่องด้วยผู้ปลุกเสกทำใว้อย่างครอบจักรวาล การอธิษฐาน หากจิตไม่สามารถส่งออกได้ถูกก็ไม่ได้ผลเป็นต้น ทำกันเป็นพันๆองค์คนดีคนเลวนำไปใช้ก็ไม่รู้ ไม่ได้เจาะจงให้ไครใช้ก็จะทำใว้ได้แค่กลางๆ ไม่เหมือนสมัยโบราณ ในสมัยโบรานพระหรือผู้ทรงศีลให้เครื่องรางแก่ผู้ใดก็จะให้แบบรับกับมือ และมีการประสิทธิ์ และมีการอ่านเรียกชื่อว่าให้นายนั่นนางนี่ใว้เพื่ออะไรเป็นการอธิฐานจิตหรือสั่งใว้ในเครื่องรางเฉพาะนั้น และมักกล่าวกำกับใว้ให้ใช้ในทางใด เพื่อไม่ให้ไปทำความเดือดร้อนกับผู้อื่นทั้ง คนทั่วไปและภูตผีที่ไม่เกี่ยวข้อง
ข้อพิสูจน์ที่ทำให้เห็นว่าการบรรจุหรืออธิฐานจิตทำลงใว้ในวัตถุ ก็เช่น ถอดไปวางแล้วก็ลองยิงวัตถุนั้นก็ยิงไม่ออกแสดงว่าได้สั่งใว้ในวัตถุนั้น
การสักอักขระก็สั่งใว้ในอักขระนั้น อธิษฐานจิตใว้ในอักขระนั้น ทำไมอักขระถึงศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะตัวอักขระถูกกำกับใว้ด้วย 3 สิ่งคือ
1 อักขระ
2 บทสวด หรือ คาถา
3 อำนาจจิตหรือญานของเจ้าของอักขระคาถา
เขียนโดย กลไกกรรม เทวดาประจำกาย ที่ 02:54
แล้วถ้าเป็นเครื่องรางของเขมร ก็จะเป็นในลักษณะแบบที่กล่าวมาข้างต้น หรือไม่ ( แต่คิดว่าจะคล้ายกัน ) แล้วอย่างวัตถุมงคลในงานพิธีฯ ผู้ปลุกเสก อยู่ด้วย แต่ไม่ได้รับกับมือ จะแตกต่างกันไหม คับ.
ตอนที่ผมเห็นบทความเรื่องนี้ ก็คิดว่าเครื่องรางของขลังเขมร เช่น งั่งและเป๋อ ก็น่าจะเหมือนในบทความนะครับ
ผมเคยเจอ”ไอ้งั่งตาแดง”อยู่ตัวนึง ซึ่งเป็นพิมพ์ที่เก่ามาก มียันต์ตรงหน้าอกด้วยครับ ปกติพิมพ์นี้ไม่เคยเห็นว่ามีการจารยันต์
ส่วนเรื่องการปลุกเสกแล้วไม่ได้รับกับมือ ผมว่าจะขลังไม่ขลังอยู่ที่ผู้ปลุกเสกครับ ถ้าเป็นพระเก่งๆปลุกเสกเครื่องรางของขลังเอาไว้
ต่อให้เราไม่ได้รับกับมือ แต่เอามาใช้ก็ไม่มีปัญหาครับ
ผมเคยได้ตะกรุดหลวงปู่หมุนมาใช้ ไม่ได้รับกับมือท่านโดยตรง แต่เอามาใช้แล้วประสบการณ์สุดยอดเลยครับ
ขอบคุณครับ / ผมก็มีตะกรุดของ หลวงพ่อ’รักษ์ อนาลโย อยู่ดอกนึง( ได้ตอนไปซื้อของในเซเว่นฯ ) ประสบการณ์ก็ดีมากๆ ครับ ได้มาเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ก็เฮงเลยวันนั้น วันนี้ ก็น่าจะโชคดีอีกครับ อิอิ.
ส่วนเรื่อง งั่ง ที่มี จารยัน ที่อก เท่าที่เคยเห็น ก็คงเป็นพวก งั่งทองแดงเถื่อน หน่ะครับ เป็นพลอยตาแดง อายุคงไม่เก่ามาก เต็มที่ก็น่าจะ ไม่เกิน 100 ปี ส่วนประเภทที่ตาแดง( ธรรมชาติ ) แบบนั้น น่าจะเก่ากว่าครับ( คิดว่านะ ).
แหม่…ชักอยากเห็นงั่งทองแดงเถื่อนตาแดง ของคุณ Zias บ้างแล้วครับ ไม่รู้จะเป็นแบบเดียวกับของที่ผมเคยเห็นรึเปล่า
คุณ Poon ครับ ผมรู้เลย ว่าของแท้ กะ ของทำเลียนแบบ แตกต่างกันชัดเจนมาก คือ เรื่องน้ำหนักของตัวองค์ ครับ เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ ว่า ของแท้ จะมีน้ำหนักแบบถ่ายเทได้ คล้ายๆ เราถือไข่ไก่ แล้วมีน้ำหนักที่ถ่ายเท ไปมา อยู่ภายใน ส่วนของเลียนแบบ จะน้ำหนักเท่ากันทั้งองค์ และมีความเบากว่า อย่างรู้สึกได้ชัด ครับ.
พูดแล้วเสียดายเคยมงั่งของเก่าและพลิกได้ดันหายไปตอนนั้นผมยังวัยรุ่นและได้เห็นการทดลองโดยตั้งควั้มหน้าเอาผ้าปิดและให้หญิงข้ามโดยหญิงไม่รู้แล้วก็พลิกจิงๆแต่ผมชอบพระเครื่องและเครื่องรางเช่นตะกรุดผ้ายันต์พิรอดแขนลูกอมฯลฯพวกทนสิทธิ์แร่ธาตุต่างๆมากกว่า
ไม่ทราบว่าประสบการณ์ การใช้งานเป็นยังไงบ้างครับ