เบี้ยแก้วัดกลางบางแก้ว

เบี้ยแก้หลวงปู่บุญ

ที่มา http://www.watkbk.com/

“เบี้ยแก้” ของหลวงปู่บุญนั้นนับว่าเป็นของขลังที่มีกิตติคุณลือกะฉ่อน ในด้านประสบการณ์และอภินิหารมากอย่างหนึ่ง และดูเหมือนเป็นมงคลวัตถุที่มีผู้นำไปใช้มากที่สุดก็ ว่าได้ เพราะในยุคนั้น จะมีบรรดาชาวบ้านขอให้ท่านทำให้จำนวนไม่น้อย คนนครชัยศรีถ้าบ้านไหนมีลูกชาย ลูกสาวจำนวนเท่าใด ก็มักจะขอให้หลวงปู่ทำเบี้ยแก้ให้จำนวนเท่ากับบุตรที่มี เพื่อมอบให้ลูกหลานไว้ใช้ ทั้งนี้เพราะเชื่อมั่นในพุทธคุณเบี้ยแก้ ของหลวงปู่บุญมาก และเป็นมงคลวัตถุที่หวงแหนกันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเม็ดยาวาสานาหรือยาจินดามณี ซึ่งเป็นยาช่วยชีวิต หากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่ให้กันง่าย ๆ ดังนั้น ผู้ที่แสวงหาจึงควรตระหนักไว้ในข้อนี้ด้วย มิใช่จะได้กันมาง่าย ๆ พึงระมัดระวัง เพราะของปลอม มีระบาดกลาดเกลื่อน
วิชาเบี้ยแก้ ของหลวงปู่บุญนั้น เป็นที่ไขว้เขวกันมาก บางคนเข้าใจกันว่า หลวงปู่บุญศึกษาจาก หลวงปู่รอด บางคนก็เข้าใจว่า หลวงปู่บุญและหลวงปู่รอด วัดนายโรงศึกษาจากหลวงปู่แขก ชีปะขาว นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่าว่าหลวงปู่บุญได้วิชาจากหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุซึ่งได้วิชาเบี้ยแก้จากพวกโจรที่มานอนใต้ถุนกุฏิของท่านได้ยิน พวกโจรคุยกันถึงอานุภาพของปรอทใส่ไว้ในเบี้ย ท่านจึงสนใจขอศึกษาวิชานี้ไว้จากพวกโจร แต่จากเรื่องเล่าลือหลายกระแสนี้ ก็นับว่ามีประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าได้มาก

หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ อดีตเป็นเจ้าอาวาสรุ่นก่อนเก่าของวัดบางบำหรุ จากปากคำของ พระครูธรรมวิจารณ์ ( ชุ่ม ) อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม บางกอกน้อยซึ่งเล่าความให้ฟัง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ขณะอายุได้ ๙๗ ปี พรรษาได้ ๗๑ นั้นกล่าวว่า หลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ เป็นพระที่มาจากนครชัยศรี หลวงปู่รอด วัดนายโรง เล่าให้ท่านฟังว่าได้ศึกษาวิชาเบี้ยแก้จากหลวงปู่แขกซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัด บางบำหรุ ขณะที่หลวงปู่แขกมาอยู่วัดบางบำหรุนั้น ท่านอยู่ในสมณเพศและท่านธุดงค์มาจากนครชัยศรี พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวอยุธยา เป็นสหายกันกับพระปลัดปานวัดตุ๊กตา และพระปลัดทองวัดกลางบางแก้ว ส่วนท่านธุดงค์จะมาจากวัดตุ๊กตาหรือคงคาราม ( วัดกลางบางแก้ว ) นั้นไม่ทราบแน่ชัด ส่วนหลวงปู่บุญนั้นท่านพระครูธรรมวิจารณ์ ( ชุ่ม ) เล่าว่าวิชาการต่าง ๆ นั้น ได้ศึกษาจากทั้งพระปลัดปานวัดตุ๊กตาอันเป็นองค์อุปัชฌาย์ของท่าน และพระปลัดทองอันเป็นอาจารย์โดยตรงของท่านที่วัดกลางบางแก้ว

สำหรับหลวงปู่แขก ชีปะขาวนั้น พลเรือนตรี เสนาะสมิตะเกษตรริน ร.น. ได้ทราบจากนายห้อย ลูกชาย ตากัน ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ตากันผู้นี้เป็นผู้มีชื่อเสียงว่า มีวิชาอาคมเก่งกล้า เคยเป็นโจรสลัดแล้วภายหลังกลับตนเป็นคนดี ตั้งบ้านเรือนอยู่ อ่าวตากัน พลเรือตรีเสนาะสมิตตะเกษตรริน ร.น. ได้เล่าให้พันเอก ( พิเศษ ) ประจญกิติประวัติฟังว่า นายห้อยซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่ออี๋เล่าว่า หลวงพ่ออี๋ท่านได้ศึกษาวิทยาทำปลัดขิกมาจากหลวงปู่แขก ซึ่งเป็นชีปะขาว ผู้เรืองวิทยาคุณมาก หลวงปู่แขก ไม่มีครอบครัวหรือถิ่นฐานบ้านเรือนเป็นที่พำนักหลักแหล่ง คือเป็นอนาคารริกร่อนเร่พเนจรไปในที่ต่าง ๆ เรื่อย ๆ ไป ในลักษณะคล้ายคนร้อนวิชา เคยมาพักอยู่กับหลวงพ่ออี๋ที่วัดสัตหีบ ในสมัยที่หลวงพ่ออี๋ยังไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส นายห้อยได้เล่าคุณธรรมหลวงพ่ออี๋ที่เกี่ยวกับหลวงปู่แขก ประการหนึ่งว่า หลวงพ่ออี๋ปฏิบัติกับหลวงปู่แขกผู้เป็นอาจารย์ด้วยกตัญญูกตเวทีธรรมอันดี เป็นที่เลื่องลือกันมาจนทุกวันนี้ เช่น ท่านบิณฑบาตได้อาหารมาก็จะเอามาแบ่งให้หลวงปู่แขกรับประทานเสียก่อนทุกวัน
จากข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ พอจะอนุมานได้ว่า การศึกษาวิชาเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญนั้นมีข้อยุติที่ว่า ท่านได้ศึกษามากับพระปลัดทองและพระปลัดปานอาจารย์ ของท่านนั่นเองส่วนเบี้ยแก้ของปู่รอดวัดนายโรงนั้น หลวงปู่รอดท่านก็ได้ศึกษาจากหลวงปู่แขกวัดบางบำหรุ และวิชาเบี้ยแก้ทั้งของหลวงปู่แขก วัดบางบำหรุ พระปลัดทอง วัดกลางบางแก้ว พระปลัดปาน วัดตุ๊กตา นั้นย่อมจะเป็นวิชาที่เหมือนกัน ด้วยทั้งสามท่าน เป็นสหายกันมาก่อน หรืออาจเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันได้

ดังนั้น ลักษณะเบี้ยแก้ ตลอดจนกรรมวิธีการทำของหลวงปู่บุญ และหลวงปู่รอด จึงมีความเหมือนกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก นอกจากดูลักษณะการถักหุ้มภายนอกเท่านั้นเอง

 

เบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม

หลวงปู่มักจะเป็นผู้ถ่อมตนในการสร้างวัตถุมงคลอยู่เสมอ ใครจะมาขอมงคลวัตถุจากท่านก็ตามท่านมักจะมอบให้แล้วบอกให้ผู้รับอย่าตั้ง อยู่ในความประมาท และเมื่อมีใครก็ตามถามหลวงปู่ว่าของหลวงปู่ดีอย่างไร ท่านก็จะบอกได้แต่เพียงว่าให้ไว้เป็นที่ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงเท่านั้นเอง การสร้างมงคลวัตถุของหลวงปู่หากจะลำดับว่าท่านสร้างอะไรเป็นสิ่งแรก แล้วก็คงต้องบอกว่า “เบี้ยแก้” เพราะท่านสร้างมานานมาก หลังจากท่านครองเจ้าอาวาสวัดกลางบางแก้วได้ไม่กี่ปี ผู้เขียนเคยถามท่านว่า ท่านสร้างครั้งแรกเมื่อใด ท่านตอบว่าจำไม่ได้เสียแล้วรู้เพียงว่าเมื่อเป็นเจ้าอาวาสได้ไม่นาน ซึ่งก็คงจะราว ๆ ปี พ.ศ. 2485 เพราะท่านเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2482 ท่านเล่าว่ามีญาติโยมเขามาขอให้ท่านทำให้ ท่านก็บอกปัดไปหลายครั้งหลายหน แต่ในที่สุดก็ทนโยมที่มาขอร้องอยู่เสมอไม่ได้จึงทำให้ไปตามความรู้ความ สามารถที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงปู่บุญและเมื่อทำไปแล้วก็มีคนมาขอให้ทำ ให้ต่อมาโดยมิขาด ในช่วงเวลาอันยาวนานถึง 40 ปี หลวงปู่สร้างเบี้ยแก้ให้บรรดาศิษย์ และผู้เคารพ
นับถือท่านไม่น้อย ผู้ที่ได้ไปต่างก็หวงแหน เพราะเป็นของขลังประจำตัวมิได้ให้กันง่าย ๆ ส่วนใหญ่ก็มักจะให้ท่านทำให้ไว้คนละ 1 ตัวเท่านั้น หลวงปู่เป็นอุปัชฌาย์บวชให้กุลบุตรมาจำนวนนับพันคน ผู้ที่หลวงปู่บวชให้แต่ละคนส่วนมากก็จะมีเบี้ยแก้ของหลวงปู่เสมอไป เพราะระหว่างบวชอยู่ก็จัดเตรียมเครื่องทำเบี้ยแก้ไปถวายให้หลวงปู่ทำให้

กรรมวิธีการทำเบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่ม ผู้ที่ต้องการเบี้ยแก้จะต้องไปจัดหา หอยเบี้ย 1 ตัว ปรอทน้ำหนัก 1 บาท ชันนะโรงใต้ดินกลางแจ้ง 1 ก้อน แผ่นตะกั่วขนาด 4 x 5 นิ้ว 1 แผ่น เอาของทั้งหมดใส่ถาดพร้อมดอกไม้ธูปเทียนไปถวายหลวงปู่ท่านจะรับสิ่งของเอา ไว้ จากนั้นท่านจะเสกปรอทแล้วเทปรอทจากขวดใส่ฝ่ามือเรียกเอาปรอทใส่เบี้ย แล้วอุดด้วยชันนะโรงที่ปากหอย จากนั้นท่านจะส่งถาดคืนให้พร้อมหอยที่กรอก แล้วบางทีท่านจะบอกว่า “ไปขอให้ท่านสมุห์เจือเขาทำให้นะจ๊ะ” หมายถึงผู้ที่ทำเบี้ยแก้จะต้องเอาสิ่งของดังกล่าวไปหาพระสมุห์เจือกุฏิริม แม่น้ำนครชัยศรี สมุห์เจือก็จะเอาแผ่นตะกั่วมาห่อหุ้มหอยเบี้ยที่กรอกปรอทเอาไว้แล้วใช้ด้าม มีดเคาะจนแผ่นตะกั่วแนบสนิทกับตัวหอย ปฏิบัติการนี้นานประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จนกระทั่งแผ่นตะกั่วเรียบสนิทดี ฝีมือการเคาะนี้หากไม่มีความชำนาญ เบี้ยจะออกมาไม่สวย และเมื่อเอาให้หลวงปู่ลงจารอักขระจะจารยากมาก พระสมุห์เจือมีความชำนาญมาก ท่านเคาะเบี้ยแก้เป็นประจำมานานไม่น้อยกว่า 30 ปีแล้ว จนปัจจุบันท่านรับภาระทำเบี้ยแก้แทนหลวงปู่ได้ขลังและเป็นที่รู้จักกันดี ทั่วไป

เมื่อหุ้มตะกั่วแล้วผู้ทำเบี้ยจะต้องนำเบี้ยแก้ที่หุ้ม นั้นไปหาหลวงปู่อีกครั้ง ถวายให้ท่านลงจารอักขระบนตะกั่วที่ห่อหุ้มเบี้ยเอาไว้ บางรายก็เอาผ้าแดงผืนเล็ก ๆ ให้หลวงปู่ลงยันต์ให้ด้วยก็มี พอท่านจารเสร็จก็จะปลุกเสกให้ บางทีท่านอาจให้มารับวันหลัง บางทีท่านก็จะปลุกเสกให้เดี๋ยวนั้น

หลังจากหลวงปู่ปลุกเสกและจารอักขระให้เสร็จก็เป็นอันว่า เสร็จเรียบร้อย แต่ส่วนใหญ่จะนำเอาเบี้ยแก้ที่ปลุกเสกเสร็จแล้วกลับไปหา “สมุห์เจือ” อีกครั้งหนึ่งเพื่อขอให้ท่านถักเชือกหุ้มห่อหอยเบี้ยแก้ให้ ซึ่งพระสมุห์เจือมีฝีมือการถักเป็นเยี่ยมมาก ภายหลังท่านถักไม่ไหวเพราะมีมาก จึงมอบให้พระพีระ อภิวัฒโน ช่วยถัก ซึ่งมีฝีมืองดงามพอ ๆ กัน เพราะท่านเป็นพระอารมณ์เย็นทำได้ประณีตบรรจง แต่ปัจจุบันนี้ทั้งสององค์นี้มีภาระมากเกินจะทำให้ได้

เบี้ยแก้ที่ถักมักจะใส่ห่วงทองแดงสำหรับคล้อง มีรูร้อยเชือกแบบห่วงคู่ ภายหลังมีห่วง สแตนเลสอย่างดีจึงเป็นข้อสังเกตได้ว่า รุ่นแรก ๆ มักจะเป็นห่วงทองแดง ส่วนรุ่นหลัง ๆ มักจะเป็นสแตนเลส แต่รุ่นหลัง ๆ ที่ใช้ทองแดงก็มีเหมือนกัน ส่วนบางท่านยึดเอาเป็นข้อพิจารณาว่าของหลวงปู่บุญเป็นห่วงทองแดง หลวงปู่เพิ่มเป็นห่วงสแตนเลสทั้งหมดนั้นเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น

การลงอักขระบนตัวหอยเบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มรุ่นแรก ๆ จะมีความคล้ายคลึงกับหลวงปู่บุญ กล่าวคือท่านจะลง “เฑาว์มหาอุตม์” “เฑาะว์มหาพรหม” (ขึ้นยอด) และ “อัง” เอาไว้บนหลังเบี้ย ส่วนใต้ท้องเบี้ยจะลง “พุทธซ้อน” ต่อมาภายหลังท่านสายตาไม่ค่อยดี ท่านมักจะลงเฉพาะส่วนหลังเบี้ยเท่านั้น ข้อนี้พอจะจำแนกเบี้ยรุ่นแรก ๆ กับรุ่นหลัง ๆ ได้ค่อนข้างแน่นอน

การลงรักหรือยางมะพลับนั้นอยู่ที่ผู้ทำเบี้ยแก้ว่าชอบ อย่างใด มักจะทำอย่างนั้น บางรายไม่ลงรักหรือยางมะพลับแต่เอาไปทาเคลือบน้ำมัน “ซิกมาว่า” ก็มี “ยูริเทน” ก็มี สิ่งเหล่านี้เอาเป็นข้อยุติมิได้แน่นอน

ในระหว่างนี้มีคนเริ่มแสวงหาเบี้ยแก้ของ “หลวงปู่เพิ่ม” กันจำนวนมาก ผู้เขียนก็ขอให้สังเกตไว้ว่า การดูหรือพิจารณานั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะของปลอมทำขึ้นเหมือนของแท้ และของแท้ส่วนใหญ่เจ้าของที่ได้รับจากหลวงปู่เอาไว้นั้นโดยมากแล้วก็จะมี ประจำตัวกันคนละ 1-2 ตัวเป็นอย่างมาก จึงยากที่จะให้กันได้ง่าย ๆ จึงขอให้ระมัดระวังทั้งฟังด้วยหูและดูด้วยตาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ

การอาราธนาเบี้ยแก้หลวงปู่เพิ่ม เรื่องนี้ผู้เขียนเคยสอบถามท่านไว้ท่านบอกว่าให้รำลึกถึงพระคุณพระธรรม พระสงฆ์ และหลวงปู่บุญอาจารย์ของท่านเป็นที่ตั้งและระมัดระวังตนอย่าประมาท เพียงเท่านี้เองไม่มีอะไรพิสดารแปลกไปกว่านี้ ท่านกล่าวว่าของศักดิ์สิทธิ์สำคัญที่จิตใจคือการยึดมั่นถือมั่น และดำรงอยู่ในศีลธรรมอันดี บารมีคุณพระจึงจะปกป้องคุ้มครอง และดลบันดาลให้มีแต่ความสุขความเจริญ แต่หากปฏิบัติตนไม่เหมาะสมไม่อยู่ในศีลธรรมคุณพระย่อมไม่คุ้มครองแน่นอน

บารมีเบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มมีประสบการณ์มาก มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะคนนครชัยศรีและในแวดวงของศิษย์หลวงปู่แต่ละท่านจึงมีความเชื่อมั่น ในเบี้ยแก้ของหลวงปู่มาก ถึงแม้บางรายพยายามจะหาเบี้ยแก้ของหลวงปู่บุญแต่เมื่อหาไม่ได้จริง ๆ ก็ใช้เบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มแทนได้สบายมาก

เรื่องที่ผู้เขียนฟังมามากต่อมากเกี่ยวกับอภินิหารเบี้ย แก้ของหลวงปู่เพิ่มนั้นเป็นเรื่องที่ผู้อื่นประสบพบเห็นทั้งสิ้น จึงจะไม่ขอกล่าวถึงแต่จะขอเล่าเฉพาะประสบการณ์ที่ผู้เขียนเคยประสบแต่เพียง ครั้งเดียวก็คงจะพอสำหรับยืนยันเรื่องฤตยานุภาพของเบี้ยแก้หลวงปู่ได้เป็น อย่างดี

ประมาณกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2518 ผู้เขียนยังเป็นครูสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนจารุพาณิชย์ บางกอกน้อย กรุงเทพฯ มีหน้าที่เป็นครูประจำชั้นและสอนชั้นเรียนของนักเรียนพาณิชย์ปีที่สาม ในห้องเรียนนั้นมีทั้งนักเรียนชายและหญิงเรียนรวมกันแบบสหศึกษา วันที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นช่วงเช้า นักเรียนมาเรียนเป็นปกติ และมีนักเรียนในห้องขาดไป 3 คน ขณะที่ผู้เขียนกำลังสอนหนังสืออยู่ก็มีเด็กนักเรียนชายรายงานตัวและบอกว่ามี เพื่อนร่วมห้องเรียน (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งเป็นนักเรียนหญิงหลบนั่งอยู่ในร้านกาแฟปากซอยโรงเรียน

ผู้เขียนได้ยินดังนั้นความเป็นครูซึ่งอยากจะให้นักเรียน ได้ดีก็วูบขึ้นมา รีบผละจากห้องเรียนในใจนึกว่าเด็กหญิงคนนั้นคงเกเรหลบหนีการเรียน รีบเดินออกไปปากซอยในมือถือไม้เรียวไปด้วยหนึ่งอัน เผื่อว่าดื้อแพ่งก็เล่นงานกันทันที

ผู้เขียนเดินไปถึงร้านกาแฟปากซอย ก็พบนักเรียนคนนั้นจริง ๆ กำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ผู้เขียนจึงส่งเสียงเรียกดัง ๆ และสำทับว่า “เข้าโรงเรียนเดี๋ยวนี้” แต่เธอนั่งนิ่งเฉย ๆ เหมือนไม่ได้ยิน สังเกตดูดวงตาเหม่อลอย ผู้เขียนนึกแปลกจึงเข้าไปใกล้ ๆ  เรียกชื่อเธอซ้ำ ๆ กัน 2-3 ครั้ง แต่เธอก็ไม่รู้สึกตัวคงนั่งเหม่อลอยเช่นเดิม ลักษณะดังกล่าวผู้เขียนทราบได้ในขณะนั้นว่าคงเกิดเหตุผิดปกติแน่  จึงเอามือเขย่าตัวเธอดูค่อย ๆ ท่ามกลางสายตาที่มองมายังผู้เขียนนั้นเหม่อลอยเหมือนคนไม่รู้จัก ผู้เขียนพยายามจับเธอลุกขึ้นเธอก็ลุกขึ้นและจูงให้เดินตามเข้าโรงเรียน เธอก็เดินตามไม่ขัดขืนเสียงชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันต่าง ๆ นานา แต่ผู้เขียนไม่สนใจพยายามเอาเธอเข้าไปในโรงเรียนเสียก่อนเรื่องอื่นค่อยว่า กันทีหลัง

หลังจากเข้าไปนั่งในโรงเรียนแล้ว บรรดาเพื่อนครูก็มาดูกันหลายคนลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา แต่สรุปได้ว่า “โรคประสาท” จึงได้โทรศัพท์ติดต่อไปที่ทำงานของบิดาเด็กหญิงคนนั้นให้มารับกลับไป ส่วนจะให้รักษากันที่ไหนอย่างไรก็คงต้องให้บิดามารดาเด็กเป็นผู้ตัดสินใจเอา เอง

นานทีเดียวที่ผู้เขียนติดตามถึงเด็กหญิงคนนั้นอยู่เสมอ ๆ บิดาของเธอพาไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งแต่อาการไม่ดีขึ้น มีสภาพทุกอย่างเหมือนเดิม คือไม่พูดอะไรเลยได้แต่มองไปอย่างเหม่อลอย กินอาหารเหมือนปกติและนอนหลับตามเวลา จนทางโรงพยาบาลส่งเธอกลับบ้าน ทางมารดาของเด็กหญิงผู้นั้นจึงหาวิธีการรักษาใหม่ โดยไปหาพระหมอดูทั้งทางนอกทางในดูว่าเธอเป็นอะไรกันแน่ บางรายก็ว่าผีเข้า บางแห่งก็ว่าถูกกระทำก็มี ถูกทำเสน่ห์ก็มาก ในระหว่างที่เธอมาอยู่บ้านนี้เองผู้เขียนมีเวลาว่างก็มักจะแวะไปเยี่ยมเยียน เธออยู่เสมอ ดูเหมือนอาการจะหนักขึ้น เพราะใบหน้าเริ่มดำคล้ำเครียดเคร่ง แต่ทุกอย่างทางอากัปกริยานั้นเหมือนเดิม สังเกตดูในคอของเธอมีสายสิญจน์คล้องเอาไว้ ที่ข้อมือมีด้ายสีต่าง ๆ พันไว้มากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนมิได้ช่วยอาการของเธอให้ดีขึ้นมาแต่น้อย

เพื่อนนักเรียนร่วมห้องเรียนของเธอเกือบลืมเธอไป เพราะมันนานกว่า 4 เดือนไปแล้ว ผู้เขียนเป็นครูประจำชั้นของเธอจึงไม่อาจลืมเลือนไปได้ หมั่นแวะเวียนไปดูเธออยู่เสมอ ๆ

ต้นเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 นานกว่า 5 เดือนผ่านไป เด็กหญิงคนนั้นอาการยังไม่เปลี่ยนแปลงหลายต่อหลายวัดหลายสำนักที่พ่อแม่ของ เธอพาไปรักษา ทั้งรดน้ำมนต์ เป่าด้วยเวทมนตร์ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น วันนั้นผู้เขียนไปเยี่ยมดูแลเธออีกครั้ง ขณะสนทนากับบิดาของเธอก็พลันนึกอย่างไรไม่ทราบพูดขึ้นมาเฉย ๆ ว่า “ทดลองดูเบี้ยแก้ของหลวงปู่ที่ผมนับถือท่านดูบ้างไหม” บิดาของเธอได้ยินแล้วก็ไม่รู้สึกว่าจะตื่นเต้นหรือยินดีอย่างไรเพราะเขาคง ผ่านพระผ่านวัดที่ไปรักษามามากแล้ว จนไม่มีความหวังกับอะไรทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงว่าต่อไปว่า “ลองดูเถอะครับไม่หายก็ไม่เป็นไร” ว่าแล้วผู้เขียนก็เอาเบี้ยแก้ที่คาดอยู่ที่เอวออกมาเดินไปหาขันน้ำตักน้ำ เต็มขัน อาราธนาถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่บุญ หลวงปู่เพิ่ม แล้วก็เอาเบี้ยแก้แช่ไว้ในน้ำสักครู่หนึ่งก็เอาเบี้ยแก้ของหลวงปู่เพิ่มขึ้น มาคาดเอวไว้อย่างเก่า เอาน้ำในขันส่งให้บิดาของเธอบอกว่าเก็บเอาไว้กินไว้อาบ

วันรุ่งขึ้นบิดาของเด็กหญิงผู้นั้นไปพบกับผู้เขียนที่ โรงเรียน รายงานว่าได้ให้น้ำมนต์เบี้ยแก้แก่ลูกสาวของเขากินและอาบไปแล้ว เมื่อเช้าวันนี้อาการดูดีขึ้นมีการยิ้มกับมารดาของเขา ทั้งที่นานกว่า 5 เดือนมาแล้ว ผู้เขียนได้ฟังแล้วก็ดีใจจนเนื้อเต้น เพราะทำให้เธอดีขึ้นจึงบอกกับบิดาของเธอว่าให้ทำน้ำมนต์เบี้ยแก้เอาไปอีก บิดาของเธอก็กลับบอกกับผู้เขียนว่า อยากจะขอยืม “เบี้ยแก้หลวงปู่” ไปเสียเลย ผู้เขียนก็ลังเลใจเพราะเบี้ยแก้ตัวนี้เป็นของประจำตัวทำไว้ตอนบวชกับหลวงปู่ และมีกับเขาอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วจึงตอบปฏิเสธไปว่าเห็นจะไม่ได้ แต่ยินดีจะพาไปทำ “เบี้ยแก้” ตัวใหม่ให้ เพราะตอนนั้นหลวงปู่ยังแข็งแรงดีสามารถทำได้

ตกลงกันได้ ดังนั้นบิดาของเด็กหญิงผู้นั้นก็รีบชวนผู้เขียนไปกันในตอนเย็นวันนั้นทันที ผู้เขียนก็จัดแจงหาวัสดุต่าง ๆ และกราบขอเมตตาหลวงปู่ทำให้จนเสร็จเรียบร้อยก็ใกล้ค่ำมอบให้ไปโดยไม่ได้ถัก เชือก บอกให้ไปเลี่ยมพลาสติกเพราะถ้าจะถักเชือกต้องคอยอีกนาน ผู้เขียนกำชับไปว่าเมื่อได้เบี้ยแก้แล้วให้เอาไปทำน้ำมนต์แบบที่ผู้เขียนทำ ในวันนั้น แล้วเอาเบี้ยแก้เลี่ยมพลาสติก แขวนคอใส่ไว้ให้ด้วย

จากนั้นอีกไม่กี่วัน เด็กหญิงคนที่เป็นลูกศิษย์ของผู้เขียนซึ่งมีอาการดังกล่าวมานานถึงกว่า 5 เดือน ก็มาโรงเรียนพร้อมด้วยบิดา – มารดาของเขา เพื่อมาขอบคุณผู้เขียนและติดต่อเรื่องการเรียนต่อ อาการทุกอย่างของเธอหายเป็นปกติอย่างอัศจรรย์ บิดาของเธอเล่าว่าวันที่ได้เบี้ยแก้จากหลวงปู่เพิ่มกลับไปก็ไปทำน้ำมนต์ให้ อาบให้กินในคืนวันนั้น แล้วก็เอาผ้ามาห่อเบี้ยแก้แขวนคอลูกสาว พอวันรุ่งขึ้นอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จนหายดีเพียงเวลาไม่กี่วัน จึงได้เอาเบี้ยแก้ไปทำตลับทองใส่ให้ติดตัวมาในวันนั้น

ผู้เขียนถามเด็กที่เป็นลูกศิษย์ว่า ระหว่างที่เป็นอยู่มีความรู้สึกอย่างไร เธอเล่าว่าไม่รู้สึกอะไรเลย เพิ่งมาได้สติไม่กี่วันมานี้เหมือนกับนอนหลับเพิ่งตื่น ส่วนสาเหตุที่เป็นนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด

เหตุการณ์อันอัศจรรย์นี้ผู้เขียนได้พบเห็นมาโดยตนเอง นับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่ง และได้นำไปเล่าให้หลวงปู่เพิ่มฟังเพื่อถามท่านว่า เด็กหญิงคนนั้นเป็นอะไรกันแน่  หลวงปู่ฟังผู้เขียนเล่าและถามแล้วท่านก็ไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่ยิ้ม ๆ เท่านั้น

เรื่องเบี้ยแก้ของหลวงปู่มีอภินิหารนั้นมีมากจริง ๆ เล่ากันมากมาย แต่ขอนำเอาเสนอเพียงเหตุการณ์ที่ประสบกับผู้เขียนด้วยตนเอง เฉพาะเรื่องนี้ก็คงจะยืนยันถึงบารมีความศักดิ์สิทธิ์ “เบี้ยแก้” หลวงปู่ได้เป็นอย่างดี

 

เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ

ประสบการณ์เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว
เบี้ยแก้หลวงปู่เจือ วัดกลางบางแก้ว

ในช่วงปลายอายุหลวงปู่เพิ่ม หลวงปู่เพิ่มได้เรียก “ พระอาจารย์ใบ ” และ “ หลวงปู่เจือ ” ขึ้นไปพบพร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน เพื่อถ่ายทอดวิชาเบี้ยแก้และวิชาบางประการให้ทั้งสองรูป แล้วกระซิบบอกว่า ถ้าท่านไม่อยู่แล้ว วิชาเบี้ยแก้ จะ ได้ไม่สูญไปจากวัดกลางบางแก้ว แล้วพูดว่า “ ให้ใบทำก่อน ”หมายถึงให้พระอาจารย์ใบทำก่อนเหมือนมีความหมายแฝงเอาไว้ในอนาคต เพราะหลังจากหลวงปู่เพิ่มมรณภาพพระอาจารย์ใบก็ทำเบี้ยแก้ได้ประมาณ 1 ปี พระอาจารย์ใบก็มรณภาพจากนั้น “ อาจารย์เซ็ง ” ก็ทำเบี้ยอยู่ได้อีกไม่นานก็มรณภาพจึงถึงวาระของ “ หลวงปู่เจือ ” “ หลวงปู่เพิ่ม ” เหมือนจะรู้ว่าใครจะต้องทำก่อนทำหลัง ท่านจึงสั่งไว้เช่นนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา “ หลวงปู่เจือ ” ทำเบี้ยแก้ไว้มากมายมากกว่าทุกหลวงปู่ของวัดกลางบางแก้วรวมกันทั้งหมด

เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือได้แพร่หลายไปอย่างกว้างขวาง แต่ละปีหลวงปู่เจือได้ทำเบี้ยแก้ออกไปนับหมื่นตัว หากจะพิจารณาแล้วเบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือที่ผ่านมาได้ประสบการณ์เล่าลือสืบ ต่อกันไปทั่วทุกสารทิศ ผู้คนจรดเหนือจรดใต้เดินทางมาเอาเบี้ยแก้จากท่าน ปริมาณหอยเบี้ยแก้ที่ต้องนำมาทำเบี้ยแก้มากมายมหาศาล “ หอยเบี้ยแก้ ” วัตถุดิบสำคัญเหล่านั้นมาจากทะเลแถบอันดามัน ลูกศิษย์พากันไปกว้านซื้อมาครั้งละหลายกระสอบ จนมีคนกล่าวว่า “ แทบจะหมดจากทะเลอันดามัน ” เรียกว่าหอยเกิดไม่ทัน แต่ละวัน “ หลวงปู่เจือ ” ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งทำเบี้ยแก้ ตั้งแต่หัวค่ำไปจนใกล้รุ่งจึงได้จำวัด บางวันมีคนมาคุยอยู่จนดึกดื่นไม่ยอมกลับ ท่านก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทำเบี้ยตอนดึก กว่าจะเสร็จก็สว่างคาตา เพราะตอนเจ้าจะมีลูกศิษย์ชาวบ้าน จะคอยรับเบี้ยแก้ที่ท่านกรอกเสร็จแล้วเอาไปถักหุ้มใส่ห่วงและลงรัก ค่าจ้างถักเบี้ยตัวละ 50 บาท ท่านต้องทนทำเพื่อให้ชาวบ้านเหล่านี้มีรายได้ค่าถักเบี้ย บางคนถักได้วันละ 10 ตัว ก็มีรายได้ 500 บาท

ถ้าท่านทำน้อยก็ไม่พอแบ่งให้คนไปถัก และไม่พอให้คนที่เดินทางไหลมาขอเบี้ยแก้จากท่าน รวม ๆ แล้ว “ เบี้ยแก้ ” ที่ท่านให้ทำบุญนั้น ราคา 400 บาท แทบจะไม่เหลืออะไร เพราะค่าปรอท ค่าหอยเบี้ย ค่าห่วง ค่าถัก บางทีก็ขาดทุนมากมาย เพราะบางคนมาขอท่าน 10 ตัว ถวายไว้ 100 บาท ท่านก็ไม่ว่าอะไรก็ให้ไปด้วยความเมตตา ด้วยความเต็มใจ ไม่เคยปริปากบ่นหรืออารมณ์เสียอย่างไร ลูกศิษย์ที่มาพบเห็นเคยถามท่าน ท่านบอกว่าให้เขาไปเถอะ เพราะเขาอยากได้ไว้ป้องกันตัว เหตุการณ์นี้มีเสมอ หรือมีแทบทุกวันก็ว่าได้ แต่หลวงปู่เจือท่านบำเพ็ญบารมีไม่เคยสนใจเรื่องเหล่านี้“ หลวงปู่เจือ ” ท่านให้อย่างเดียวจนลูกศิษย์หลายคนบอกว่า “ ท่านคือโพธิสัตว์แห่งวัดกลางบางแก้ว ”

“ เบี้ยแก้ ” เป็นวัตถุมงคลของหลวงปู่เจือที่เป็นเอกลักษณ์ของท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านเบี้ยแก้อย่างน้อยวันละ 50 ตัว ปีหนึ่งมากกว่า 18,000 ตัว ถึง พ.ศ. นี้ เบี้ยแก้ของหลวงปู่เจือน่าจะมี นับแสนตัว เอกลักษณ์ที่สำคัญคือ ถักด้วยเชือกหุ้มและลงรักที่ทำแบบต่าง ๆ ก็มีอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อคราวทำบุญอายุ 80 ปี และตลอดปีต่อมาเพื่อให้มีลักษณะเฉพาะ จึงได้ มีการตอกโค้ด ไว้ที่ห่วงสองข้าง ข้างละ 1 ตัว เป็นลักษณะโค้ด “ นะขึ้นยอด ” และ “ จ.จานขึ้นยอด ” สร้างเป็นห่วงทองคำ 80 ตัว ห่วงเงิน 200 ตัว ห่วงทองแดงประมาณ 30,000 ตัว หลังจากนั้นก็ไม่ตอกโค้ดอีก เนื่องจากโค้ดที่ตอกชำรุดเสียหาย หากจะไปแกะใหม่ก็คงไม่เหมือนเดิม จะทำให้มีความสับสนเกิดขึ้น จึงได้ยุติการตอกโค้ดไว้แค่นั้น

“ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่เจือ ปิยสีโล นับว่าเป็นมงคลวัตถุที่ท่านทำมาที่สุด และเผยแพร่ไปมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่า “ หลวงปู่เจือ ” เป็นเถระที่สร้าง “ เบี้ยแก้ ” มากที่สุดในประเทศไทยก็ ว่าได้ นับถึงวันนี้ “ เบี้ยแก้ ” ของท่านสร้างไปแล้วไม่น้อยกว่า 300,000 ตัว เพราะปีหนึ่งท่านสร้างหมื่นตัว ทุวันท่านจะต้องสร้างเบี้ยแก้อย่างน้อย 50 ตัวทุกวัน เพื่อให้เพียงพอแก่คนที่ไปขอเบี้ยแก้อย่างน้อย 50 ตัวทุกวัน เพื่อแก้ให้เพียงพอแก่คนที่ไปขอเบี้ยแก้จากท่าน ลองเอา 50 คูณ 365 วัน เข้าไป 18,250 คือเป็นอย่างน้อยในแต่ละปี และท่านปฏิบัติเช่นนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 ถึง พ.ศ. นี้ก็ 18 ปีเข้าไปแล้ว คราวนี้ลองเอา 18 คูณ 18,250 เข้าไปแล้วจะได้ตัวเลข 328,500 ตัว ในบรรดาสามแสนกว่าคนที่นำไปบูชาสักการะนี้ไม่ใช่ธรรมดาปากต่อปากที่บอกต่อ ๆ กันไป ถึงประสบการณ์และอภินิหารที่เกิดขึ้น ทำให้กิตติคุณ “ เบี้ยแก้ ” ของหลวงปู่เจือแผ่ขยายกว้างขวางออกไปทุกทีถึงวันนี้วันละอย่างน้อย 50 ตัวก็จะหมด แค่ไม่เกิน 10.00 น. ของแต่ละวัน หมดแล้วก็ต้องรอวันใหม่ เพราะท่านก็ทำได้เต็มที่แค่นั้นเอง ต้องกรอกปรอทเองทุกตัว ต้องจารทุกตัว ภารกินนี้ของท่านจะเสร็จสิ้นไม่น้อยกว่า 03.00 น. ของวันใหม่ ไหนจะรับแขก ไหนจะรับนิมนต์ไปงานปลุกเสกพระ เฉพาะปี 2549 ลองไปเปิดสมุดเสกพระ ปรากฏว่ามีจำนวนปีเดียวท่านไปพุทธาภิเษก จำนวนถึง 91 วัด เฉลี่ยแทบจะวันเว้นวัน บางวันกลับมาจากเสกพระตีหนึ่งตีสองต้องมากรอกเบี้ย จารเบี้ย เพราะท่านบอกว่าเกรงใจคนมาไกลแล้วไม่ได้ “ นี่แหละคืออภินิหารเตตาบารมีของหลวงปู่เจือของจริง ”

หากจะถามว่า อภินิหารเบี้ยแก้มีมากน้อยแค่ไหน ก็ขอสรุปว่า ดูจากผู้คนที่ทยอยไปเอากันไม่หยุดหย่อนนั่นแหละเป็นเครื่องชี้ชัดมิเช่นนั้น เขาจะเอากันไปทำไม จากคำบอกเล่าได้แค่ฟังไว้ไม่ได้บันทึกชื่อตำบลหนแห่งเอาไว้ เพราะไม่คิดว่าจะได้ทำหนังสือหรือโฆษณาอะไร แค่นี้หลวงปู่เจือท่านก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว เอาเป็นว่าประสบการณ์อภินิหารนั้นมีแน่ทุกทางแคล้วคลาดปลอดภัย เมตตามหานิยม ป้องกันคุณไสยต่าง ๆ มีครบเครื่อง ดูจากอิทธิคุณที่ระบุบ่งบอกไว้ในตำรำ ดังนี้

กันถูกกระทำย่ำยี กันคุณผี คุณไสยเวทอาถรรพ์ ยาสั่ง ฝังรูปฝังรอย ผีเข้าเจ้าสิงมิลงเลย กันไข้ป่าสารพัดผีป่า โป่ง โป้ง ผีเปิ่ง ผีปองกองกอย พาให้ผิดท่าหลงทาง เข้าสิงให้วิกลจริตพลุ่งพล่านเฉียบพลันอยากตายด้วยอัตวินิบาตกรรม ผูกคอล่อพิษ โดดน้ำ ลุยไฟ โดดสูง จูงค่าง ผีเข้าเจ้าสิง ถ้าจริงหาย กันจิตคิดวิกล ด้วยอุปาทาน กันมนตยายำ ย่ำยีด้วยเล่ห์กลมายา สารพัด
อุปาทานอันวิกลพิการแล

คาถาเสกเบี้ยแก้

ตั้งนะโม 3 จบ เสร็จแล้วให้ตั้งธาตุ
นะ มะ พะ ทะ ( 3 จบ )
จะ ภะ กะ สะ ( 3 จบ )
เมื่อตั้งธาตุเสร็จแล้ว ให้ภาวนาคาถา 3 จบ ดังนี้

“ อะสิสะติ ธะนูเจวะ
สัพเพเต อาวุธานิจะ
ภัคคะ ภัคคาวิจุนนานิ
โลมังมาเม นะผุสสันติ ”

สู้ไว้ข้างหน้า ไม่กล้าไว้ข้างหลัง เมตตามหานิยมไว้ขวา กันอาวุธศาสตราไว้ซ้าย แขวนคอ แก้ลมเพลมพัด อัมพาต แขน ขา ปาก คอ หลัง ลิ้นกระด้าน ถอนคุณไสยรูปรอยลงบนใบหมอน คลึงแป้งถอนคุณ คลึงปูนถอนพิษ ถอนเสา ถอนพระภูมิ ศาลเจ้า เจว็ด เสมา กำแพง เสกภาวนา สมุหเนยยะ สะมุหะนะติ สะสุหะคะโต สีมาคะตัง พันธะเสมายัง สะมุหะนิตัพโพ เอวังเอหิ นะเคลื่อนโมถอน พุทคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดลอย สวาหะ

“ โลปุสุ สะวิพุ สังภะอะ ” ว่าแต่นารายณ์ถวายจักร 7 ที
ภาวนาก่อนใช้ อะสัง วิสุ โล ปุสะพุภะ พุทธะสังมิ อิสะวาสุ
เอา ดอกไม้หลากสี ดอกพุทธรักษา ธูป เทียนบูชา อธิษฐานด้วยขันน้ำมนต์ และอธิษฐานเอาตามใจเถิด แล้วภาวนาต่ออายุ สะธะวิปิ ปะสะอุ 3 ที
บทสักกัตตะวาด้วยก็ดี ผูกขอดชายผ้ากันปืน
อะนิทัสสะนะอัปปะติ ลั่นไกมิออก
อะนิทัสสะนะอัปปะติคา ลูกมิออกลำกล้อง
อะนิทัสสะนะอัปปะติคายะ ลำกล้องแตก
ภาวนาอภัยกรรม ให้คนเกลียด เดียด โกรธ เพ่งโทษ จองเวร ให้หายพยาบาทพยาเวร ต่อแล้วดี กันหายกัน แล.
“ นะเมตตาจะมหาราชา อะเมตตาจะมหาเสยส อุเมตตาจะมหาชะนา สัพพะสิเนหา จะปชิตาสสัพพะสยัง จะมหาลาภัง ราชาโกธังวินัสสันติ ชะนาโกธัง วิสัสสันติ สัพพะโกธัง วินัสสันติ ”

วิธีใช้เบี้ยแก้

ตั้งนะโม 3 จบ
อิ ติปิโส ภะคะวา ยาตรายามดี ได้ยามพระศรี สวัสดีลาโภ นะโมพุทธายะ แล้วสวดคาถาหัวใจต่อ อะสัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ พุท ธะ สังมิ อิสวาสุ

“ เบี้ยแก้ ” นับแสนตัวของหลวงปู่เจือที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ ก่อเหตุการณ์นานาประการอันน่าอัศจรรย์มากมาย มีคนเดินทางไปไต่ถามหลวงปู่เจือกันมากว่า เบี้ยของหลวงปู่ดีทางไหน หลวงปู่ได้แต่เมตตาไม่เคยคุยโม้โอ้อวด นอกจากรอยยิ้ม หรืออย่างมากก็บอกว่า “ ลองเอาให้ใช้ดู ” มีบางรายกระเซ้ากระซี้อยากให้หลวงปู่ตอบว่าดีอย่างไร ใช้อย่างไร หนัก ๆ เข้าจนหลวงปู่นึกอะไรไม่ทราบได้ ท่านกระซิบแผ่วเบาด้วยความเมตตาตอบกับผู้นั้นไปว่า “ไม่รู้ ฉันก็ไม่เคยใช้ ได้แต่ทำ”